ความมหัศจรรย์ของคัมภีร์อัลกุรอาน

ความมหัศจรรย์ของคัมภีร์อัลกุรอาน
ความมหัศจรรย์ของคัมภีร์อัลกุรอาน
ถ้าใครสักคนหนึ่งจะออกมาอ้างตัวว่า
เป็นเจ้าของทฤษฎี หรือสัจธรรมอะไรสักอย่าง คนผู้นั้นก็จะต้องมีหลักฐานและข้อพิสูจน์มายืนคำกล่าวอ้างของตน โดยเฉพาะในยุคก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ยิ่งถ้าเป็นการกล่าวอ้างเกี่ยวกับเรื่องพระเจ้า และ สิ่งที่มองไม่เห็น หรือ
การอ้างตัวเป็นศาสดาด้วยแล้ว ยิ่งต้องมีหลักฐาน และ ข้อพิสูจน์มายืนยัน
ให้เป็นที่ ชัดเจนยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีก
เมื่อตอนที่นบีมูซาได้รับการคัดเลือกจากพระ เจ้าให้เป็นศาสนทูต (รอซูล) ของอัลลอฮฺเพื่อนำสาส์นของพระองค์ไปยังลูกหลานของอิสราเอลนั้น ผู้คนของท่านได้ขอให้ท่านแสดงหลักฐานอะไรบางอย่างเพื่อยืนยันสาส์นของท่าน และการเป็นศาสนทูตของท่าน

เนื่องจากผู้คนในสมัยนั้นเป็นผู้มีความเชี่ยว ชาญเรื่องคาถามายากล
อัลลอฮฺก็ได้ประทานปาฏิหาริย์แก่  นบีมูซาประเภทเดียวกับที่ผู้คนของท่าน รู้จักกันดี 
ทั้งนี้ เพื่อที่ปาฏิหาริย์นั้นจะได้เป็นที่ชัดเจนแก่พวกเขา
กล่าวคือ พระองค์ให้ประทานไม้เท้าที่จะกลายเป็นงูใหญ่ซึ่งจะกินงูเล็ก ที่พวกนักคาถา มายากล
และ พวกพ่อมด หมอผีสร้างขึ้นมา (นี่เป็นหนึ่งในบรรดาปาฏิหาริย์ที่นบีมูซาได้รับ)
ปาฏิหาริย์ที่อัลลอฮฺประทานแก่ นบีมูซาได้ทำให้บรรดานักคาถามายากลเกิดความ เชื่อมั่นในศาสนาของท่าน

ดังนั้น พวกนักคาถามายากล จึงได้ยอมก้มกราบ ต่อพระอัลลอฮฺ ก่อนที่จะขออนุญาตต่อฟาโรห์
และ รู้ดีถึงสัจธรรมที่ นบีมูซา นำพร้อมกับปาฏิหาริย์ เป็นสิ่งยืนยัน

ผู้คน ในสมัย นบีอีซา ก็มีความรู้ในเรื่องการรักษาโรค
ดังนั้น อัลลอฮฺจึงได้ช่วยเหลือท่าน ด้วยการประทานปาฏิหาริย์ ในลักษณะที่ผู้คนของท่าน มีความรู้
นั่นคือ การทำให้คนตายฟื้นขึ้นมา ด้วยการอนุมัติของพระองค์
เช่นเดียวกับการรักษา คนตาบอดให้มองเห็น และ คนโรคเรื้อนให้หายจากโรคดังกล่าว
คัมภีร์อัลกุรอานกล่าวว่า : “ฉันได้มายังพวกท่าน พร้อมกับสัญญาณหนึ่ง จากพระผู้อภิบาลของพวกท่าน คือฉันปั้นดินเป็นรูปนกต่อหน้าพวกท่าน แล้วฉันจะเป่าเข้าไปในมัน แล้วมันจะกลายเป็นนกโดยอนุมัติของอัลลอฮฺ และฉันรักษาคนตาบอด และ คนโรคเรื้อน และ ให้ชีวิตแก่คนตาย โดยอนุมัติของอัลลอฮฺ และฉันแจ้งให้พวกท่านรู้ถึงสิ่งที่ท่านกิน และ สิ่งที่พวกท่านสะสมในบ้านของพวกท่าน แท้จริง ในนั้นมีสัญญาณสำหรับพวกท่าน ถ้าพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา” (กุรอาน 3:49)
เนื่อง จากคำสอนนบีมูซาและนบีอีซานำมานั้นเป็นคำสอนสำหรับชนชาติของท่าน  เป็นการเฉพาะและยังไม่ได้เป็นคำสอนที่สมบูรณ์ตลอดกาลสำหรับมนุษยชาติ

ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีผู้นำคำสอนตลอดกาล  มายังมนุษยชาติ ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮฺจึงได้ทรงกำหนดให้
ท่าน นบีมุฮัมมัด เป็น นบี คนสุดท้ายที่จะนำคำสอนตลอดกาลสำหรับมนุษยชาติมา

คำสอนของ นบีมุฮัมมัด จึงเป็นตราประทับของคำสอนทั้งหมดที่ นบี ก่อนหน้านี้นำมา และ เป็นคำสอนที่เพียงพอ สำหรับมนุษยชาติ  ตราบจนถึงวันสิ้นโลก เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าวจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่อัลลอฮฺจะทรงช่วยเหลือ นบี มุฮัมมัด ด้วยปาฏิหาริย์ที่จะดำรงอยู่ตราบจนถึงวันสิ้นโลก และนั่นก็คือ คัมภีร์อัลกุรอาน ที่ประกอบไปด้วย เรื่องราวของบรรดาคนก่อนหน้านี้ และ เรื่องราวของบรรดาผู้ที่จะมาหลังจากนั้น 

หลักฐานที่เชื่อถือได้  ที่ดีสุดสำหรับการยืนยันว่า นบีมุฮัมมัดเป็นรอซูล (ศาสนทูต) ถูกเก็บไว้ในคัมภีร์เล่มนี้ เป็นเวลา 14 ศตวรรษ   โดยไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง  ตั้งเริ่มต้นจนถึงวันนี้ และ ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
จนถึงวันสุดท้าย   ถึงแม้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา  จะมีการท้าทายของบรรดาผู้ที่คิดจะเปลี่ยนแปลงมัน  
แต่ความพยายามของคนเหล่านั้น  ก็ต้องประสบความล้มเหลว เพราะอัลลอฮฺถือว่าเป็นหน้าที่ของพระองค์ที่จะรักษาหลักฐานเหล่านั้นไว้

บางคนถามว่า “ถ้ามุฮัมมัดเป็น นบี คนสุดท้ายแล้ว เราจำเป็นต้องมีข้อพิสูจน์ ยืนยันคำกล่าวอ้างที่เกี่ยวข้อง กับยุคสมัยของเรา เหมือนกับที่ได้กล่าวมาก่อนหน้านี้”
คำตอบก็คือ ในคัมภีร์อัลกุรอานมีความจริงมากมายหลายอย่าง   ซึ่งได้ถูกประทานมาเมื่อ 14 ศตวรรษก่อนหน้านี้ แต่วิทยาศาสตร์เพิ่งจะมาค้นพบเมื่อเร็วๆนี้   และได้ยืนยันปาฏิหาริย์ของ  นบี มุฮัมมัด นั่นคือ คัมภีร์อัลกุรอาน ต่อไปนี้เป็นหลักฐานเพียงบางส่วนที่ยืนยันถึงเรื่องนี้ :
1) อัลลอฮฺได้กล่าวไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานว่า :
พระองค์ได้ให้ทะเลทั้งสอง (น้ำเค็มและน้ำจืด) มาบรรจบกันอีกครั้งหนึ่ง ระหว่างทั้งสองนั้น คือแนวขวางกั้นมิให้ทั้งสองล้วงล้ำกัน แล้วความโปรดปรานอันใดเล่าของพระผู้อภิบาลของสูเจ้าทั้งสอง
(ญินและมนุษย์) ที่สูเจ้าจะมาปฏิเสธ?
”(กุรอาน 55:19-21)
วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว  ถึงการมีอยู่ของแนวขวางกันน้ำซึ่งแยก น้ำจืดและน้ำเค็ม
ออกจากกัน  ภายในมหาสมุทร และ ทะเลรอบโลก แนวที่ขวางกั้นนี้   ถูกดาวเทียมนอกโลกถ่ายภาพได้ แล้วใคร  ที่บอกให้มุฮัมมัด ผู้ไม่รู้หนังสือ  และ  อาศัยอยู่ในทะเลทราย ไม่เคยนั่งเรือ หรือ เห็นมหาสมุทรให้รู้ถึงความจริงทางด้านวิทยาศาสตร์ดัง กล่าว ?

2) วิทยาศาสตร์สมัยใหม่  ได้ค้นพบขั้นตอนการวิวัฒนาการของตัวอ่อนในมดลูกของแม่ เรื่องนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นหลังจากโลกได้มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ ได้มีการพูดกันอย่างยืดยาวในศตวรรษที่ 20 นี้เอง แต่คัมภีร์อัลกุรอานได้พูดถึงความจริง เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่ ชัดเจนในสมัยที่ผู้คนยังใช้  อูฐ ม้า ลา และ ล่อ เป็นยานพาหนะ
อัลลอฮฺได้ กล่าวไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานว่า :
มนุษย์เอ๋ย ถ้าหากสูเจ้ายังสงสัยคลางแคลงเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพ หลังความตายอยู่  สูเจ้าจงรู้ไว้เถิดว่า เราได้สร้างสูเจ้า มาจากดิน ในตอนแรก หลังจากนั้น ก็จากหยดอสุจิ แล้วก็จากก้อนเลือด แล้วก็ จากก้อนเนื้อ ทั้งที่เป็นรูปร่างสมบูรณ์หรือไม่เป็นรูปร่าง ก็เพื่อที่จะทำให้ความจริงเป็นสิ่งที่ง่ายสำหรับสูเจ้า และเราได้ทำให้ อสุจิ ที่เราประสงค์เหล่านั้นอยู่ในมดลูกชั่วระยะเวลาที่กำหนดไว้  หลังจากนั้น เราก็ให้สูเจ้าคลอดออกมาเป็นทารก   หลังจากนั้น เพื่อสูเจ้าจะได้บรรลุวัยผู้ใหญ่  และ  ในหมู่สูเจ้านั้น  อาจมีบางคน ที่ถูกเรียกกลับก่อน  และ  บางคนที่กลับไปสู่วัยอันน่าสังเวช   เพื่อที่เขาจะไม่รู้อะไรเลย หลังจากที่ได้รู้ทุกสิ่ง  ที่เขาสามารถแล้ว  และ สูเจ้าได้เห็นแผ่นดินแห้งแล้งแต่เมื่อเราได้ส่งน้ำฝนลงมาบนมัน มันก็ร่วนซุยและทำให้พืชพันธุ์หลากชนิดมีชีวิตงอกเงยออกมา” (กุรอาน 22:5)
ใครบอก  มุฮัมมัดเกี่ยวกับความรู้ที่ถูกซ่อนเร้นนี้ ?   จะมีใครเสียอีกนอกจากอัลลอฮฺนั่นเอง ทั้งนี้เพื่อที่
กุรอานจะได้เป็นสาส์นอันนิรันดรและเป็นสาส์นสุดท้าย   ของบรรดา สาส์น ที่มาก่อนหน้านี้
จนกระทั่งถึงวันสิ้นโลก

3) อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานว่า :
บรรดาผู้ปฏิเสธไม่พิจารณาหรือว่าชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินในตอนแรกนั้น เป็นมวลเดียวกัน หลังจากนั้น เราได้แยกมันออกจากกัน และเราได้สร้างทุกสิ่งที่มีชีวิตจากน้ำ ? แล้วพวกเขายังไม่เชื่ออีกหรือ ?”
(กุรอาน 21:30)

เป็นไปได้อย่างไร ? ใครบอก นบีมุฮัมมัดว่า  โลก และ ชั้นฟ้า เคยรวมอยู่ด้วยกันเป็นมวลเดียว ?
อัลลอฮฺผู้ทรงเลือก นบีมุฮัมมัดให้เป็น นบี คนสุดท้าย และ เป็นศาสนทูตของพระองค์ ยังมนุษยชาติต่างหาก  ดังนั้น ลองพิจารณาหลักฐานดังกล่าวมาข้างต้นนี้  และ  ลองคิดถึงเรื่องการสร้างชั้นฟ้า และแผ่นดิน กลางวัน  และ กลางคืน ดวงอาทิตย์  และ  ดวงจันทร์  มหาสมุทร  และ ทะเล  และ สิ่งมีชีวิตอีกมากมายสุดคณานับ ที่อาศัยอยู่ในนั้น  ดูสิ่งเหล่านี้ไม่มีผู้สร้าง ที่คอยควบคุมมันไว้เพื่อมนุษยกระนั้นหรือและ การที่อัลลอฮทรงควบคุมมันไว้นั้น  มิได้มีวัตถุประสงค์อะไร  หรือ เป็นเรื่องยิ่งใหญ่เลยกระนั้นหรือ ?
ถ้าหากใครสักคนจะใช้เงินของตน  โดยไม่รู้ว่าใช้ไปเพื่ออะไร  เราก็จะถือว่าคนผู้นั้นเป็นคนไร้ความคิด แล้วอัลลอฮฺกับจักรวาลอันยิ่งใหญ่นี้เล่า ? อัลลอฮฺทรงสร้างมันขึ้นมาโดยไร้วัตถุประสงค์ และ ประโยชน์กระนั้นหรือ ? ความจริงแล้ว อัลลอฮฺได้ทรงสร้างจักรวาลมา เพื่อวัตถุประสงค์อันยิ่งใหญ่ กล่าวคือ เพื่อที่เราจะได้เคารพภักดีพระองค์ และ ยอมตนต่อพระองค์ และ ปฏิบัติตามแนวทาง ที่ถูกต้องของพระองค์
ไม่มีทางใดไปสวรรค์นอกจากหนทางของท่านนบีมุฮัมมัด เพียงทางเดียวเท่านั้น ยังมีเหตุผลอีกมากมายที่จะมายืนยันในเรื่องนี้ แต่อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเครื่องบอกทางง่ายๆสำหรับใครก็ตาม  ที่มีหัวใจ  และสามารถได้ยิน และ มองเห็น  จงคิดถึงสิ่งเหล่านั้น  และ  ยืนยันด้วยตัวของคุณเอง  และ  ปฏิบัติตาม สิ่งที่ถูก ต้องก็แล้วกัน เพราะปลายทางชีวิตของคุณก็คือ  สวรรค์  หรือ ไม่ก็ นรก

เขียนโดย Andromeda.Ih
Http://Andromedaislahiah.Blogspot.Com/2009/02/Blog-Post

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น